
การโดนล้อเลียน อย่างที่รู้กันดีว่าภายในสังคมของเราก็จะมีการบูลลี่กันล้อเลียนกันจนทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติแต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่าบุคคลที่โดนแบบนั้นอาจจะมีความรู้สึกที่ไม่ดีเสียใจและเก็บไปฝังใจของตัวเอง ทั้งๆที่คนที่พูดพูดแค่ต้องการเพียงความสนุกเท่านั้นใครจะไปรู้ว่าคำพูดเหล่านั้นมี ผลกระทบต่อจิตใจของผู้ที่ถูกกระทำ มากมายขนาดไหนยกตัวอย่างเช่นเรื่องราวของเด็กหญิงคนนี้
เธอมีชื่อเล่นว่า มะนาว ตอนนี้เธออายุ 16 ปี รูปร่างของเธอค่อนข้างอ้วน เธอเป็นคนที่ยิ้มแย้มสดใสร่าเริงมาโดยตลอดจนกระทั่งช่วง ม. ปลาย ที่เธอย้ายโรงเรียนใหม่ ทำให้เธอต้องเปลี่ยนสังคมใหม่เปลี่ยนคุณครูเปลี่ยนเพื่อนเธอรู้สึกปรับตัวเข้าหาผู้คนในโรงเรียนนี้ได้ยาก เพราะส่วนใหญ่คนที่นี่จะเลือกคบเพียงแต่คนที่มีลักษณะเหมือนกันเช่นคนที่หน้าตาดีรูปร่างดีก็จะอยู่กลุ่มเดียวกันส่วนคนที่หน้าตาไม่สวยรูปร่างไม่ดีก็จะแยกออกมาอยู่อีกกลุ่มนึงแล้วก็ถูกคนที่หน้าตาดี บูลลี่ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอเกิดความทุกข์ใจในการมาโรงเรียน
“สวัสดีเราชื่อมะนาวนะ”
“อ๋อ ชื่อมะนาวหรอแล้วกลิ่นตัวนี่เปรี้ยวเหมือนมะนาวป่ะ”
ประโยคแรกที่เพื่อนในห้องตอบกลับเธอมาแล้วต่างพากันหัวเราะทำให้เธอรู้สึกเสียความมั่นใจเป็นอย่างมากเธอก็ได้แต่แสดงออกไปเพียงรอยยิ้มและเดินกลับไปนั่งที่ของตนเอง เปิดเรียนวันแรกเธอยังไม่มีเพื่อนที่จะไปกินข้าวเธอก็เลยต้องไปกินข้าวคนเดียวแล้วนั่นก็ทำให้กลุ่มเพื่อนอีกกลุ่มเข้ามาทักทายเธอ
“มะนาว เพื่อนไม่คบหรอ”
“โอ๊ยไม่มีเพื่อนคนไหนคบมันหรอกดูจากชื่อก็รู้และว่าเปรี้ยวมาก”
“อุ้ย หมายถึงอะไรหรอที่ว่าเปรี้ยวอ่ะ”
“โห ไม่น่าถามกลิ่นตัวมันไง”
“555555555555555555”
เมื่อเพื่อนกลุ่มนั้นพูดจบก็เดินหนีเธอไป เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนถึงต้องทำกับเธอแบบนี้เพราะเธอยังไม่เคยไปทำอะไรให้ใครและตัวเธอเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไรแต่กลับโดนล้อเลียนและโดนบูลลี่ตั้งแต่เปิดเรียนวันแรกเธอรู้สึกว่าเธอจะไม่สามารถอยู่ในสังคมแบบนี้ได้เธอจึงไปปรึกษาอาจารย์
“อาจารย์คะหนูโดนเพื่อนๆกลุ่มนึง บูลลี่ ค่ะ”
“แล้วเธอโดนบูลลี่เรื่องอะไร”
“เขาบอกว่าหนูกลิ่นตัวเปรี้ยวค่ะ แล้วก็พากันหัวเราะหนู หนูยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยหนูแค่นั่งกินข้าวอยู่คนเดียวดีๆเขาก็เดินเข้ามาพูดแบบนี้ใส่ หนูว่าหนูไม่โอเคเลยค่ะที่เขามาทำกิริยาแบบนี้”
เธออธิบายทุกอย่างให้อาจารย์ฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนักแต่เธอกลับต้องชะงักไปเมื่ออาจารย์ตอบกลับมาว่า
“ก็ดูรูปลักษณ์ภายนอกของเธอสิถ้าจะโดนล้อก็ไม่แปลก อย่าไปโทษเพื่อนๆเลยสังคมมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
การโดนบูลลี่ของเธอหนักขึ้นมาทุกวันจนทำให้เธอรู้สึกเสียความมั่นใจไปหมด เธอใช้ชีวิตในโรงเรียนด้วยการหลบหน้าผู้คนไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียวที่จะเข้าใจเธอ ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ เธอได้แต่แอบร้องไห้แล้วได้แต่บ่นว่าอยากลาออกจากโรงเรียนแห่งนี้ สิ่งที่เธอทำได้คือการยิ้มตอบคนที่มาบูลลี่เธอ ทั้งๆที่ภายในความรู้สึกเธอจริงๆ ไม่ได้ยิ้มแบบที่แสดงออกมาเลย
“อีอ้วน ทำการบ้านเสร็จหรือยังเอามาดูซิ”
ประโยคนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอยู่ที่เธอฟังแล้วรู้สึกเสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก การที่เธอเกิดมารูปร่างแบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องมาเจออะไรแบบนี้คำพูดที่ทำให้เสียความรู้สึกขนาดนี้เธอไม่จำเป็นต้องมาได้ยิน แต่เธอก็ไม่สามารถเลือกอะไรได้ก็ได้แต่อดทนและใช้ชีวิตไปอย่างปกติ
เธอเล่าให้ครอบครัวหรือญาติพี่น้องของเธอฟัง ทุกคนก็มองว่านี่มันเป็นเรื่องตลกและไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เขามองว่าการ ล้อเลียนของเด็กวัยรุ่นก็เป็นแค่เรื่องปกติเรื่องหนึ่งหากรับเรื่องอะไรแบบนี้ไม่ได้แล้วจะใช้ชีวิตในสังคมได้ยังไง แต่เธอก็มองว่ามันไม่เกี่ยวแล้วทำไมเราจะต้องเอาชีวิตไปใช้ในสังคมแบบนั้นด้วย มันไม่มีใครควรถูกล้อเลียนถูกว่า ถูกบูลลี่ ถูกทำร้ายจากคำพูดแย่ๆจากใครทั้งนั้นไม่ว่าเขาจะมีรูปร่างเป็นอย่างไรก็ตาม
“อีอ้วนที่มีกลิ่นตัวเปรี้ยวคนนั้นน่ะ หลบไปดิขวางทางว่ะ”
หนักข้อขึ้นเรื่อยๆเธอไม่ได้โดนบูลลี่เพียงแค่ในห้องแต่ภายในโรงเรียน โรงอาหาร หน้าสหกรณ์ของโรงเรียน เธอก็ยังถูกบูลลี่ จากคนที่ไม่รู้จักเสมอแค่นี้ยังไม่พอเธอยังถูกนำรูปไปตัดต่อเป็นตัวตลกอีกมากมายแล้วโพสต์ลงโซเชียลเป็นเสียงหัวเราะให้กับใครหลายๆคนแต่ตัวเธอเองไม่ได้ตลกกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
มีหลายๆคำพูดแย่ๆที่เธอเก็บมาคิดเก็บมาเป็นปมด้อยของตนเอง เช่น
“โอ้โหตัวอ้วนขนาดนี้กินโอ่งเป็นอาหารหรือเปล่าเนี่ย”
“กลิ่นตัวของแกนี่เหมือนเดินผ่านมะนาวทั้งสวนเลยเนาะ”
“โหใส่เสื้อไซส์อะไรเนี่ย XXXXL หรือเปล่า55555555”
และยังมีอีกหลายคำพูดที่เธอฟังแล้วถึงกับน้ำตาตกในมันเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีใครต้องพบเจอและไม่ควรมีใครกระทำต่อให้คนนั้นจะรูปร่างเป็นอย่างไรเขาก็ไม่ควรมันถูกพูดถึงแบบนี้ถึงคนพูดอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรหรือพูดออกไปเพียงเพราะแค่ความสนุกสนานแต่นั่นสามารถสร้างแผล 1 แผลให้กับคนฟังได้ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เธอมีความฝังใจกับเรื่องรูปร่างของ เองจนรู้ตัวอีกทีเธอก็กลายเป็นโรคซึมเศร้าไปเสียเเล้ว
เธอทำร้ายตัวเองเริ่มจากการกรีดแขน การต่อยกำแพง หรือ การทำลายข้าวของต่างๆเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ทำให้คนในครอบครัวของเธอต้องพาเธอไปพบกับจิตแพทย์เข้ารับการรักษาอย่างจริงจังเรื่องราวของเธอเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครหลายๆคนที่กำลังบูลลี่คนอื่นอยู่ ว่าสิ่งที่เขาพูดเขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างมาก ใครจะไปรู้ว่าคำพูดของคนคนหนึ่งสามารถฆ่าคนอีกคนนึงได้
ในความเป็นจริงแล้วคนเรามีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันดังนั้นไม่เกี่ยวเลยว่าคนที่เกิดมาหน้าตาแบบนี้รูปร่างแบบนี้หรือลักษณะแบบนี้แปลว่าเขาจะไม่ดีและคนที่เกิดมาลักษณะภายนอกดีนั่นก็ไม่ได้หมายความว่านิสัยภายในหรือความคิดของเขานั้นมันจะดีไปตามรูปร่างของเขาสุดท้ายแล้วคนเราไม่ควรมองกันแต่ภายนอกและการเอาเรื่องภายนอกมาล้อเลียนมัน ไม่ใช่เรื่องตลกและที่สำคัญมันไม่เคยตลกมาตั้งแต่แรก