ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์ โรงเรียนบ้านห้วยท่าช้าง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1
วันที่ 2 เมษายน 2023 8:38 AM
b-school01
logo-b โรงเรียนบ้านห้วยท่าช้าง
หน้าหลัก » นานาสาระ » ผีเจียงซือ

ผีเจียงซือ

อัพเดทวันที่ 14 ตุลาคม 2020 เข้าดู 270 ครั้ง

ผีเจียงซือ หรือซอมบี้แวมไพร์จีน

ผีเจียงซือ

            ผีเจียงซือ ในโลกของเรานี้มีผีอยู่มากมาย หลายภาษา เรารู้จักผี หรือวิญญาณกันแล้วทั้งผีไทย ผีฝรั่ง แต่สำหรับผีจีนนั้นหลายท่านอาจยังไม่รู้จัก หรืออาจจะรู้บ้างแต่ไม่ลึกซึ่งว่ามีลักษณะและที่มาที่ไปอย่างไร หรือมาจากไหน ผีจีนหรือที่คนจีนเชื่อว่าคือซอมบี้จีน และเรียกกันทั่วไปว่า “เจียงซือ” นั้นมีลักษณะที่ไม่ต่างจาก ผีซอมบี้หรือแวมไพร์ ของฝรั่งมากนักเนื่องจากอาหารที่มันต้องการได้แก่เลือดของสิ่งมีชีวิต

โดยเฉพาะมนุษย์ เจียงซือ หรือผีจีนเป็นผีที่มีกำเนิดมาชานาน และเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ของจีนเนื่องจากส่วนใหญ่แล้วผีจีนหรือเจียงซือนี้ เมื่อออกมาปรากฏตัวมักจะแต่งกายในชุดสมัยขุนนางจีนยุคราชวงศ์ชิงนั่นเอง ส่วนรายละเอียดของเจียงซือหรือผีจีน ซอมบี้จีนนั้นทีมงานได้รวมรวมมาให้ท่านได้ศึกษาแล้ว โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน ดังนี้

ผีซอมบี้ หรือผีแวมไพร์ของจีน ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นผีที่อาศัยนอนอยู่ในโลงศพหรือในที่ลับตาคนในเวลากลางวัน และจะออกหากินในเวลากลางคืน ด้วยการดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่พอจะหาได้ แต่ของโปรดของมันได้แก่เลือดสด ๆ ของมนุษย์ สิ่งที่เห็นและสังเกตได้ว่าเป็นผีจีน หรือเจียงซือได้แก่ลักษณะประจำตัวของมันคือเวลาจะไปไหนมันจะอาศัยการประโดด และชูแขนและมือทั้งสองข้างไปข้างหน้า มันเป็นผีดิบที่มีผิวพรรณที่ขาวซีดไม่มีเลือดฝาดและอาจมีขนยาวรุงรังทั้งตัว

มีเชื้อราขึ้นบริเวณผิวกายและขนของมัน เจียงซือนั้นโบราณจีนเชื่อกันว่าเป็นผีดิบที่ถูกสาปให้นับเมล็ดข้าวสาร เนื่องจากจะเห็นเมล็ดข้าวสารที่ไหนไม่ได้เป็นต้องก้มลงนับจนหมดทุกครั้ง แล้วจึงจะกระโดดต่อไปได้ จึงทำให้คนจีนใช้วิธีนี้เพื่อล่อให้เจียงซือเสียเวลาในการนับเมล็ดข้าวสารเพื่อเป็นการถ่วงเวลาจนถึงเช้าโดยการโปรยทั้งเมล็ดข้าวสารและเมล็ดพืชอื่น ๆ ไว้บนหลังคาบ้าน หรือลานบ้านเพื่อให้เจียงซือมานับและแยกเมล็อข้าวสารออกจากเมล็ดพืช เจียงซือหรือผีดิบจีนต้องเสียเวลาแยกเมล็ดข้าวสารออกจากเมล็ดพืชอย่างมาก อาจต้องใช้เวลานานบางครั้งอาจถึงเช้าวันใหม่ ซึ่งเป็นกลอุบายหรือวิธีจับผีดิบจีนไว้ได้ วิธีการดังกล่าวได้เผยแพร่ไปถึงทางยุโรป ซึ่งคนยุโรปก็ใช้วิธีเดียวกันนี้ในการจับผีแวมไพร์ของตนเช่นกัน และต่างก็ประสบความสำเร็จด้วยดี

แต่ถ้าจะว่าไปแล้วเจียงซือนั้นก็ยังไม่มีใครได้เห็นกับชัด ๆ สักที มีแต่เพียงเรื่องเล่า ซึ่งก็คงไม่ต่างจากผีไทยที่ก็มีเรื่องเล่าที่มากมาย แต่พอจะเอาเข้าจริงคำตอบก็ไม่แน่นอน เช่น ถ้าถามว่าผีมีลักษณะอย่างไร คำตอบจากคนร้อยคนผีก็อาจมีลักษณะร้อยอย่างก็ได้ ดังนั้นในความเป็นจริงเจียงซือก็ไม่ต่างกัน เป็นแค่ความเชื่อในเรื่องของจิตวิญญาณ หรือในทางไสยศาสตร์ของพวกลักธิเต๋า หรือลักธิเหมาซานเท่านั้น โดยคนจีนในลักธิดังกล่าวนี้เชื่อกันว่า เมื่อมีคนตายไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม จะใกล้หรือไกลไม่ใช่ปัญหา ต้องนำศพคนที่ตายนั้นกลับไปฝังยังบ้านเกิด ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงไรก็ตาม

เรื่องดังกล่าวเป็นความลำบากของบรรดาญาติพี่น้องคนตายเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากการเดินทางบางครั้งก็ยากลำบากเพราะหนทางการคมนาคมในสมัยนั้นเป็นอย่างยิ่ง ทำให้นักบวชของลักธิเหมาซานได้ทำพิธีเพื่อการปลุกเสกศพคนตายให้สามารถลุกขึ้นมาเพื่อการเคลื่อนย้ายได้ง่ายขึ้น โดยวิธีให้คนตายนั้นได้เคลื่อนที่หรือเดินได้ด้วยตนเอง แต่เป็นวิธีการเดินที่ไม่เหมือนคนทั่วไปได้แก่ต้องกระโดด และยื่นแขนทั้งสองไปข้างหน้า แต่ทั้งนี้การกระโดดของเจียงซือนั้นจะถูกกำกับไว้ด้วยเวชย์มนต์ด้วยการสั่งกระดิ่งเพื่อเป็นการบังคับและต้องกระโดดอย่างเป็นจังหวะ

วิธีดังกล่าวถือว่าเป็นวิธีลับเฉพาะห้ามมิให้ผู้คนทั่วไปได้รู้เห็น เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมกระทำกันในเขตการปกครองตนเองทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน เรียกว่าพิธี “พินอิน” ซึ่งมีความหมายว่า “การขนส่งศพคนตายในเซียงซี” ถือเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งของคนในท้องถิ่นเมื่อครั้งอดีตกาล โดยมีหลักฐานยืนยันที่บันทึกไว้ในหนังสือโบราณที่ชื่อว่า “The Corpse Walker” ที่แต่งโดยเหลียว ยี่วู่ ซึ่งมีรายละเอียดที่พอสรุปได้ว่า “จะเป็นพิธีที่เป็นการลับเฉพาะ ที่ต้องกระทำกันอย่างลับ ๆ เพียง 2 คนที่รู้เท่านั้นห้ามเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้เด็ดขาด

ซึ่งผู้ที่ทพิธีนั้นจะต้องสวมเสื้อคลุมทั้งตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และต้องแต่งศพด้วยชุดคลุมสีขาวตั้งแต่หัวถึงปลายเท่าเช่นกัน โดยต้องมีโคมไฟเพื่อใช้เป็นเครื่องนำทาง และออกเดินไปข้างหน้าพร้อมต้องร้องตะโกนเตือนเป็นระยะว่าให้ระวังอุปสรรค์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดฝันที่รออยู่ข้างหน้า เป็นพิธีที่ต้องทำในเวลากลางดึกทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้มีคนมารับรู้หรือมาเห็นนั่นเอง และต้องเป็นคืนที่มีสภาพอากาศที่เป็นใจด้วยทั้งนี้เพื่อให้ศพได้เคลื่อนไหวได้ดี ศพจะเดินตามผู้นำทางไปโดยไม่สามารถที่จะมองเห็นข้างหน้าเนื่องจากถูกคลุมหัวไว้ ดังนั้นผู้นำทางจึงเป็นคนสำคัญเพื่อการนำศพให้ไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

แต่เรื่องดังกล่าวก็มีผู้ออกมาแย้งว่า เรื่องนี้แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อเป็นการตบตาเจ้าหน้าที่เพื่อการขนย้ายหรือลักลอบขนสิ่งผิดกฎหมายมากกว่า และที่เห็นว่าศพกระโดดนั้นก็เป็นเพียงการเบี่ยงเบนจุดสนใจเท่านั้น แต่ทั้งนี้ในประเทศอินโดนีเซียก็มีพิธี หรือประเพณีที่คล้ายคลึงกันโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ศพได้เดินทางกลับบ้านเพื่อมาฝังด้วยตนเองด้วยเช่นกัน เนื่องจากถ้าผู้ตายไปเสียชีวิตในที่ที่ห่างไกล ก็จะทำพิธีฝังไปก่อน ต่อเมื่อเวลาผ่านไปญาติ ๆ จึงไปนำกลับมาทำพิธีฝังใหม่ด้วยการขุดศพขึ้นมาแล้วนำกลับบ้าน ด้วยการปลุกศพให้เดินได้เองเช่นกัน

แต่การเดินทางนั้นต้องเลือกเส้นทางที่ผู้คนไม่เดินผ่าน หรือเป็นเส้นทางที่การคมนาคมที่ยากลำบาก เพื่อเป็นการหลบไม่ให้ใครมาเห็นหรือมาพบในระหว่างการเดินทาง โดยมิให้มีการจัดขบวนหรือพิธีแห่งศพใด ๆ ทั้งสิ้น หากฝ่าฝืนก็จะต้องมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของการเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นพิธีกรรมที่ต้องทำเป็นการภายในเฉพาะญาติ ๆ ของผู้ตายเท่านั้น

 

นานาสาระ ล่าสุด